*เราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ปปง. และไม่ไช่หน่วยงานราชการ แต่เป็นบริษัทเอกชนที่เป็นตัวแทนผู้เสียหายในการดำเนินการทางกฎหมาย เท่านั้น

มิจฉาชีพแฝงมาในคราบผู้ให้บริการกู้เงินออนไลน์
ระวังโดนหลอกโอนเงิน!

ในปัจจุบัน การเข้าถึงบริการด้านการเงินโดยเฉพาะการขอสินเชื่อหรือกู้เงิน สามารถทำได้สะดวกผ่านระบบออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันของธนาคาร หรือแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานของรัฐ

แต่ท่ามกลางความสะดวกนี้เอง มิจฉาชีพจำนวนมากได้ฉวยโอกาสแฝงตัวมาในคราบของ ผู้ให้บริการ “กู้เงินออนไลน์” หลอกลวงประชาชนให้ตกเป็นเหยื่อและหลอกให้โอนเงิน โดยเฉพาะผู้ที่กำลังเดือดร้อนทางการเงินและต้องการเงินด่วน

กู้เงินออนไลน์ คืออะไร

การกู้เงินออนไลน์ คือ รูปแบบของการขอสินเชื่อที่ผู้ขอกู้สามารถดำเนินการทุกขั้นตอนผ่านระบบอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังธนาคารหรือสำนักงานของผู้ให้บริการสินเชื่อเหมือนในอดีต

ผู้ที่ต้องการกู้เงินสามารถกรอกข้อมูลส่วนตัว แนบเอกสาร เช่น สำเนาบัตรประชาชน หรือหลักฐานรายได้ และยืนยันตัวตนผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เมื่อผู้ให้บริการได้รับข้อมูลและพิจารณาอนุมัติวงเงินแล้ว เงินกู้จะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้กู้โดยตรง

กระบวนการทั้งหมดนี้มักใช้เวลาไม่นาน และบางแห่งอาจอนุมัติภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง จุดเด่นของการกู้เงินออนไลน์คือความสะดวกในการเข้าถึง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้เงินเร่งด่วนโดยไม่ต้องเตรียมเอกสารจำนวนมากหรือเสียเวลาเดินทาง

บริษัทหรือบุคคลที่คุณกำลังจะยื่นขอกู้เงินออนไลน์ อาจเป็นมิจฉาชีพแฝงตัวมา

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้าถึงทุกคนอย่างง่ายดาย บริการกู้เงินออนไลน์กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปยังธนาคารหรือบริษัทสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสะดวกที่เทคโนโลยีนำมาให้ กลับมีภัยเงียบที่แฝงตัวมากับรูปแบบที่ไม่น่าระแวง นั่นคือ มิจฉาชีพที่ปลอมตัวเป็นผู้ให้บริการ “กู้เงินออนไลน์”

มิจฉาชีพกู้เงินออนไลน์ กับ นายหน้ากู้เงินออนไลน์เถื่อน เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

มิจฉาชีพกู้เงินออนไลน์ กับ นายหน้ากู้เงินออนไลน์เถื่อน แม้จะมีเป้าหมายเดียวกันคือการหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงินล่วงหน้า แต่ทั้งสองกลุ่มมีลักษณะและวิธีการแสดงตัวที่ต่างกันเล็กน้อยในเชิงพฤติกรรม

มิจฉาชีพกู้เงินออนไลน์

มิจฉาชีพกู้เงินออนไลน์ มักปลอมตัวเป็น “ผู้ให้กู้โดยตรง” โดยแอบอ้างว่าเป็นบริษัทปล่อยสินเชื่อที่มีชื่อเสียง หรือแอบใช้ชื่อและโลโก้ของธนาคารจริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

บางรายถึงขั้นสร้างเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันปลอมขึ้นมาให้ดูเหมือนเป็นผู้ให้บริการที่ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมโฆษณาชวนเชื่อว่า “กู้ง่าย อนุมัติไว ไม่เช็กเครดิต”

เมื่อมีผู้หลงเชื่อและยื่นขอกู้ พวกเขาจะเรียกเก็บเงินล่วงหน้าในรูปแบบค่าธรรมเนียม ค่ามัดจำ หรือค่าดำเนินการ ก่อนจะหายตัวไปโดยไม่มีการให้สินเชื่อใด ๆ ตามที่ตกลงไว้

“นายหน้ากู้เงิน” หรือ “ตัวแทนจัดหาสินเชื่อ”

ส่วนกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “นายหน้ากู้เงิน” หรือ “ตัวแทนจัดหาสินเชื่อ” มักแสดงบทบาทเป็นผู้ช่วยในการยื่นกู้ โดยอ้างว่าสามารถติดต่อกับบริษัทหรือธนาคารให้ได้รวดเร็ว พร้อมจัดการเอกสารแทนทั้งหมด โดยผู้กู้ไม่ต้องดำเนินการเอง

จากนั้นจะหลอกให้โอนเงินเพื่อ “ค่าบริการในการจัดหาเงินกู้” หรือ “ค่าดำเนินการพิเศษ” ทั้งที่ในความเป็นจริง คนกลุ่มนี้ไม่มีอำนาจในการจัดการสินเชื่อ และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทหรือธนาคารใด ๆ เลย

แม้บทบาทจะต่างกัน แต่ทั้งมิจฉาชีพที่ปลอมเป็นผู้ให้กู้ และนายหน้ากู้เงินเถื่อน ล้วนมีเจตนาเดียวกันคือหลอกให้ผู้เดือดร้อนทางการเงินโอนเงินล่วงหน้าโดยไม่มีการให้สินเชื่อจริง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายทั้งในแง่ทรัพย์สินและข้อมูลส่วนตัวที่อาจถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ

ข้อสังเกตุแหล่งกู้เงินออนไลน์ มิจฉาชีพ

มิจฉาชีพเหล่านี้มักจะอ้างว่าเป็นบริษัทปล่อยสินเชื่อที่ถูกกฎหมาย หรืออ้างว่าเป็นตัวแทนจากธนาคารและแอปเงินกู้ที่น่าเชื่อถือ โดยอาจนำโลโก้ รูปแบบสื่อ และข้อมูลปลอมที่ดูสมจริงมาใช้ในการโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ เช่น Facebook, LINE, TikTok หรือแม้แต่เว็บไซต์ที่จัดทำขึ้นอย่างแนบเนียน เพื่อหลอกให้ผู้ที่กำลังเดือดร้อนทางการเงินติดต่อเข้าไปขอกู้เงิน

เมื่อผู้กู้หลงเชื่อและเริ่มกระบวนการ มิจฉาชีพจะอ้างว่าต้องมีการโอนเงินล่วงหน้าเพื่อเป็น “ค่าดำเนินการ ค่าประกัน ค่ามัดจำ” หรือแม้แต่ “ค่าปลดล็อกระบบ” โดยให้โอนเงินไปยังบัญชีบุคคลทั่วไป ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่มักถูกมองข้าม เมื่อผู้กู้โอนเงินตามคำขอ มิจฉาชีพจะบ่ายเบี่ยง บล็อกการติดต่อ หรือหายตัวไปโดยไม่มีการอนุมัติเงินกู้ตามที่ตกลงไว้

ในบางกรณี มิจฉาชีพอาจไม่หลอกเพียงแค่เงินค่าธรรมเนียม แต่ยังเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้กู้ เช่น สำเนาบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร หรือภาพถ่าย เพื่อใช้ในทางมิชอบ เช่น การเปิดบัญชีม้า เป็นต้น

เจอสัญญานเหล่านี้ให้ระวัง มิจฉาชีพ "กู้เงินออนไลน์"

ลักษณะหรือข้อสังเกตของมิจฉาชีพแอปกู้เงินออนไลน์ มีหลายประการที่สามารถช่วยให้ประชาชนสังเกตและระวังตัวได้ ก่อนตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง เพื่อการกู้เงินออนไลน์ ปลอดภัย โดยมีลักษณะเด่นที่พบได้บ่อยดังนี้

1. โฆษณาชวนเชื่อเกินจริง มักใช้ข้อความล่อใจ

มิจฉาชีพที่แอบอ้างว่าเป็นผู้ให้กู้เงินออนไลน์ มักใช้ “โฆษณาชวนเชื่อเกินจริง” เป็นเครื่องมือสำคัญในการล่อลวงเหยื่อ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่กำลังเดือดร้อนทางการเงินและต้องการเงินด่วน มิจฉาชีพจะเลือกใช้ข้อความที่ฟังดูน่าดึงดูดและให้ความหวังเกินความเป็นจริง

เช่น “กู้เงินด่วน กู้ง่าย อนุมัติใน 10 นาที”, “กู้เงินออนไลน์ ไม่เช็คบูโร”, “กู้เงินด่วน ไม่เช็คบูโร”, “ไม่ต้องใช้เอกสาร ไม่มีคนค้ำ ไม่เช็กเครดิตบูโร” หรือ “สมัครวันนี้ รับเงินทันที” ซึ่งเป็นข้อความที่ขัดกับข้อเท็จจริงในการดำเนินการของสถาบันการเงินที่ถูกกฎหมาย

โดยทั่วไปแล้ว การขอสินเชื่อจากบริษัทหรือธนาคารที่ได้รับใบอนุญาตจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบหลายขั้นตอน ทั้งการตรวจสอบเอกสาร การประเมินรายได้ และการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ ดังนั้น หากมีผู้ให้กู้รายใดที่อ้างว่าสามารถให้เงินกู้ได้โดยไม่ต้องตรวจสอบข้อมูลใด ๆ เลย ย่อมเป็นเรื่องผิดปกติและควรตั้งข้อสงสัยไว้ตั้งแต่ต้น

การใช้ข้อความโฆษณาที่เกินจริงนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเร่งรีบให้กับเหยื่อ ทำให้ผู้ที่ต้องการเงินไวรู้สึกว่าตนต้องรีบคว้าโอกาสไว้ทันที โดยขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ และเมื่อติดต่อเข้าไปมิจฉาชีพก็จะเริ่มหลอกให้โอนเงินล่วงหน้าในรูปแบบต่าง ๆ นั่นเอง

2. ไม่มีข้อมูลบริษัทที่ตรวจสอบได้

ผู้ให้กู้ที่เป็นมิจฉาชีพมักไม่มีข้อมูลบริษัทที่ตรวจสอบได้ ไม่ปรากฏเลขทะเบียนนิติบุคคล ไม่มีใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย และไม่มีที่ตั้งสำนักงานที่แน่นอน การติดต่อทั้งหมดมักเกิดขึ้นผ่านช่องทางส่วนตัว เช่น LINE, Facebook หรือแอปพลิเคชันแชทต่าง ๆ โดยหลีกเลี่ยงการใช้ช่องทางที่เป็นทางการหรือโปร่งใส

ผู้ให้กู้ที่มีเจตนาไม่สุจริตมักจะใช้ชื่อปลอม หรือแอบอ้างชื่อของบริษัทสินเชื่อที่ดูน่าเชื่อถือ โดยอาจสร้างเพจหรือเว็บไซต์เลียนแบบขึ้นมาเอง เพื่อให้เหยื่อเข้าใจผิดว่ากำลังติดต่อกับหน่วยงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย

ต่างจากบริษัทสินเชื่อที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง ซึ่งจะมีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล มีเลขทะเบียนบริษัทชัดเจน มีเว็บไซต์และช่องทางติดต่อที่เป็นทางการ เช่น เบอร์โทรสำนักงาน อีเมลที่ใช้งานในระบบบริษัท และสามารถตรวจสอบชื่อบริษัทได้ผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือธนาคารแห่งประเทศไทย

กล่าวโดยสรุป ผู้ให้กู้ที่ไม่มีข้อมูลบริษัทให้ตรวจสอบ ไม่สามารถยืนยันสถานะทางกฎหมาย และมีพฤติกรรมหลบเลี่ยงการเปิดเผยตัวตน ควรถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นมิจฉาชีพที่มีเจตนาหลอกลวง ซึ่งไม่ควรติดต่อหรือโอนเงินให้โดยเด็ดขาด

3. เรียกเก็บเงินล่วงหน้าโดยอ้างว่าเป็นค่าธรรมเนียม

จุดสังเกตที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ มิจฉาชีพเหล่านี้มักเรียกเก็บเงินล่วงหน้าโดยอ้างว่าเป็นค่าธรรมเนียม ค่ามัดจำ ค่าดำเนินการ หรือค่าปลดล็อกระบบก่อนที่จะได้รับเงินกู้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผู้ให้กู้ที่ถูกกฎหมายจะไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายใด ๆ ก่อนที่ผู้กู้จะได้รับวงเงินสินเชื่อ

มิจฉาชีพจะหลอกเหยื่อด้วยข้อความที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น

  • ต้องชำระค่าธรรมเนียมระบบก่อน 500 บาท เพื่อให้ปลดล็อกการโอนเงิน”
  • ต้องวางเงินประกันความเสี่ยงจำนวน 1,000 บาท ก่อนรับเงินกู้เข้าบัญชี”
  • ค่ามัดจำเอกสาร หรือค่าดำเนินการกู้ตามเงื่อนไขบริษัท”

ข้อความเหล่านี้มักมาพร้อมกับแรงกดดัน เช่น การเร่งให้โอนเงินภายในเวลาจำกัด หรืออ้างว่าหากไม่โอนตามกำหนดจะถือว่าสละสิทธิ์ ซึ่งเป็นการบีบให้เหยื่อตัดสินใจโดยขาดสติและการตรวจสอบอย่างรอบคอบ

เมื่อเหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินให้ตามที่ร้องขอแล้ว มิจฉาชีพก็จะเริ่มบ่ายเบี่ยง เช่น อ้างว่าข้อมูลไม่สมบูรณ์ ต้องโอนเพิ่มอีก หรืออ้างว่าระบบมีปัญหา ต้องชำระค่าดำเนินการรอบใหม่ สุดท้ายแล้วเหยื่อก็จะไม่ได้รับเงินกู้ตามที่ตกลง และไม่สามารถติดต่อผู้ให้กู้ได้อีกเลย

พฤติกรรมเรียกเก็บเงินล่วงหน้าเช่นนี้ เป็นพฤติกรรมที่ ผิดปกติอย่างชัดเจน เพราะสถาบันการเงินที่มีใบอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นธนาคารหรือบริษัทสินเชื่อ จะหักค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จากวงเงินกู้หลังการอนุมัติ หรือเรียกเก็บพร้อมกับการผ่อนชำระในงวดถัดไปเท่านั้น ไม่ใช่การให้ผู้กู้โอนเงินไปก่อนโดยไม่มีหลักประกันใด ๆ

กล่าวโดยสรุป หากพบว่าผู้ให้กู้รายใดเรียกเก็บเงินล่วงหน้าโดยอ้างว่าเป็นค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่าย หรือเงินประกันใด ๆ โดยไม่มีหลักฐานทางกฎหมายหรือเอกสารที่ตรวจสอบได้ นั่นคือสัญญาณอันตรายว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับมิจฉาชีพ และไม่ควรโอนเงินใด ๆ ไปโดยเด็ดขาด

4. ให้โอนเงินไปยังบัญชีบุคคลธรรมดา ไม่ใช่บัญชีในนามบริษัท

โดยหลักทั่วไปแล้ว หากผู้ให้กู้เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การรับเงินจากลูกค้าจะต้องทำผ่าน บัญชีธนาคารที่เปิดในนามของบริษัท ซึ่งเป็นบัญชีที่มีการจดทะเบียนกับธนาคาร ภายใต้ชื่อองค์กรนั้น ๆ และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ในทางกฎหมาย อีกทั้งยังมีระบบบัญชีที่โปร่งใส เช่น การออกใบเสร็จ ใบแจ้งหนี้ หรือใบกำกับภาษีตามขั้นตอนที่ถูกต้อง

ในทางตรงกันข้าม มิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบของผู้ให้กู้เงินออนไลน์ มักจะให้เหยื่อ โอนเงินไปยังบัญชีของบุคคลธรรมดา โดยอ้างว่าเป็นบัญชีเจ้าหน้าที่ บัญชีของบริษัท หรือบัญชีชั่วคราวสำหรับรับค่าธรรมเนียม

ซึ่งล้วนแต่เป็นข้ออ้างที่ไม่มีมูลความจริง เพราะในธุรกิจทางการเงินที่เป็นทางการ ไม่อนุญาตให้ใช้บัญชีบุคคลธรรมดาในการรับเงินจากลูกค้า เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบหรือควบคุมความโปร่งใสได้

การใช้บัญชีบุคคลธรรมดาในการรับเงินค่าธรรมเนียม ค่ามัดจำ หรือค่าใช้จ่ายใด ๆ จากผู้กู้ จึงถือเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติ และเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่าผู้ให้กู้นั้นอาจไม่มีตัวตนจริง หรือมีเจตนาแอบแฝงในการหลอกลวง ไม่ได้มีเจตนาจะให้สินเชื่อแต่อย่างใด

ดังนั้น หากคุณกำลังติดต่อขอกู้เงินจากบริษัทหรือบุคคลใด และได้รับคำแนะนำให้โอนเงินไปยังบัญชีชื่อบุคคลธรรมดา โดยไม่มีหลักฐานยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย ควรระงับการโอนเงินทันที และตรวจสอบข้อมูลผู้ให้กู้อย่างละเอียด หรือขอคำปรึกษาจากสายด่วน 1213 หรือ 1441 ก่อนตัดสินใจ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

5. ไม่มีเอกสารสัญญาที่ชัดเจน หรือหากมีเอกสาร ก็เป็นเอกสารปลอม

“เอกสารสัญญาเงินกู้” ตามหลักที่ถูกต้องและเป็นธรรม ผู้ให้กู้ต้องสามารถออกเอกสารสัญญาที่มีรายละเอียดครบถ้วน ชัดเจน และมีผลทางกฎหมายได้ โดยเอกสารเหล่านั้นควรระบุข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อของผู้ให้กู้และผู้กู้ วงเงินที่ตกลง อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการชำระหนี้ เงื่อนไขในการผิดนัด รวมถึงลายเซ็นของทั้งสองฝ่าย

แต่ในกรณีของมิจฉาชีพ จะพบว่ามัก ไม่มีเอกสารสัญญาใด ๆ เลย หรือหากมี ก็จะเป็นเพียงเอกสารที่จัดทำขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ไม่มีหัวกระดาษบริษัท ไม่มีเลขทะเบียนนิติบุคคล ไม่มีการลงนามของผู้มีอำนาจ หรือบางครั้งเป็นเอกสารที่ถูกตัดต่อปลอมแปลงขึ้นมาโดยใช้โลโก้ของบริษัทจริง เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือเท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วจะพบว่าเป็นเพียงเอกสารที่ไม่มีผลทางกฎหมาย ไม่สามารถใช้ยืนยันสิทธิหรือดำเนินคดีได้จริงในภายหลัง

ยิ่งไปกว่านั้น มิจฉาชีพบางรายอาจหลีกเลี่ยงการส่งเอกสาร altogether โดยอ้างว่าระบบอนุมัติออนไลน์ “ไม่ต้องใช้สัญญา” หรือจะให้ผู้กู้คลิกยอมรับในลิงก์ใดลิงก์หนึ่ง ซึ่งไม่ชี้แจงข้อกำหนดที่แท้จริง เป็นการทำให้เหยื่อเข้าใจผิดว่าเป็นขั้นตอนปกติ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ธุรกรรมเงินกู้ที่ถูกต้องต้องมีเอกสารยืนยันสิทธิและหน้าที่ของทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร

ดังนั้น หากพบว่าผู้ให้กู้ไม่สามารถออกเอกสารสัญญาที่ชัดเจน หรือมีเอกสารที่ดูไม่เป็นทางการ ไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ หรือมีลักษณะเป็นเพียงกระดาษลอย ๆ ที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ ก็ควรพึงระวังว่าอาจกำลังเผชิญกับมิจฉาชีพที่มุ่งหวังเพียงการหลอกลวง โดยไม่มีเจตนาจะปล่อยสินเชื่อให้จริงแต่อย่างใด

6. หลอกล่อและใช้คำพูดเพื่อเร่งให้รีบโอนเงิน

กลุ่มมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบของผู้ให้กู้เงินออนไลน์ มักใช้วิธีการโน้มน้าวเชิงจิตวิทยาเพื่อเร่งรัดให้เหยื่อตัดสินใจโอนเงินโดยเร็ว โดยอาศัยความรีบเร่ง ความวิตกกังวล หรือความต้องการใช้เงินของเหยื่อมาเป็นจุดอ่อนในการกดดันให้เกิดการตัดสินใจแบบเร่งด่วน

มิจฉาชีพจะอ้างว่า หากไม่โอนเงินภายในเวลาที่กำหนด จะถือว่าสละสิทธิ์ หรือระบบจะตัดชื่อออกจากรายการอนุมัติ เช่น

  • โอนตอนนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถรับวงเงินได้แล้ว
  • มีผู้กู้จำนวนมาก ถ้าช้า ระบบจะยกเลิกอัตโนมัติ
  • ถ้าไม่โอนภายใน 30 นาที จะถือว่าท่านไม่ประสงค์ใช้สิทธิ์

ข้อความในลักษณะนี้ออกแบบมาเพื่อบีบให้เหยื่อรีบตัดสินใจโดยไม่ทันพิจารณาให้รอบคอบ เพราะความกลัวว่าจะ “เสียโอกาส” หรือ “พลาดสิทธิ์พิเศษ” ที่ดูเหมือนใกล้จะได้รับในหลายกรณี ผู้หลงเชื่ออาจรีบโอนเงินโดยไม่ทันได้ตรวจสอบที่มาของบัญชีปลายทาง หรือแม้แต่ความถูกต้องของบริษัทที่ตนกำลังติดต่อด้วย

นอกจากการเร่งรัดด้วยคำพูด มิจฉาชีพบางรายอาจเสริมด้วยการส่งภาพปลอม เช่น สลิปโอนเงินที่ทำขึ้นเอง อ้างว่ามีคนกู้ก่อนหน้าเพียงไม่กี่นาที หรือแสดงรายชื่อลูกค้าที่ได้รับการอนุมัติแล้ว

เพื่อเร่งสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นภายในเวลาอันสั้น ดังนั้น หากมีใครติดต่อมาในลักษณะดังกล่าว ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อน และหยุดการดำเนินการทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของกลลวง

7. ข่มขู่ให้กลัวแล้วโอนเงิน

ในบางกรณี เหยื่ออาจถูกหลอกให้เซ็นเอกสารสัญญาเงินกู้ที่ดูเหมือนถูกต้อง เช่น แบบฟอร์มเงินกู้ ใบยินยอมชำระค่าธรรมเนียม หรือสัญญาที่มีตราบริษัทปลอม ซึ่งถูกจัดเตรียมมาอย่างแนบเนียนเพื่อให้เหยื่อเข้าใจว่ากำลังดำเนินการกับบริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเพื่อเพิ่มความมั่นใจว่า “ทุกอย่างปลอดภัย”

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้กู้เริ่มรู้สึกผิดปกติ เช่น ถูกเร่งให้โอนเงิน ถูกให้โอนเข้าบัญชีบุคคลธรรมดา หรือเอกสารไม่มีหลักฐานทางกฎหมายที่ชัดเจน จึงเกิดความสงสัยและ ตัดสินใจไม่โอนเงินตามที่ถูกเรียกร้อง นั่นคือจุดที่พฤติกรรมของมิจฉาชีพมักเปลี่ยนไป

จากที่เคยพูดจาดี กลายเป็นการ ข่มขู่ และใช้น้ำเสียงก้าวร้าว โดยอ้างว่าเหยื่อได้ลงนามในสัญญาแล้ว จึง “มีพันธะทางกฎหมาย” หรือ “จะถูกฟ้องร้อง” หากไม่โอนเงินตามที่ตกลง บางรายอาจอ้างว่าจะส่งทนายความ ติดต่อบริษัทเร่งหนี้ หรือขู่จะนำข้อมูลของเหยื่อไปเผยแพร่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ล้วนเป็นกลวิธีบีบบังคับที่ ไม่มีผลทางกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น

เพราะแม้ผู้กู้จะเผลอลงนามในเอกสารบางอย่างไปจริง แต่หากยังไม่มีการรับเงินกู้ ไม่มีหลักฐานการได้รับผลประโยชน์ใด ๆ และการเรียกเก็บเงินล่วงหน้าขัดต่อกฎหมายแล้ว สัญญาดังกล่าว ถือเป็นโมฆะหรือไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อเป็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยมิชอบหรือมีเจตนาแอบแฝงเพื่อฉ้อโกง

การข่มขู่ในลักษณะนี้ จึงเป็นเครื่องมือที่มิจฉาชีพใช้เพื่อบีบบังคับให้เหยื่อยอมโอนเงินโดยสมัครใจ แม้จะรู้ตัวว่าอาจกำลังถูกหลอก เพราะเหยื่อจำนวนมากเกรงกลัวต่อคำว่า “ฟ้องร้อง” หรือ “ผิดสัญญา” จึงยอมจ่ายเงินทั้งที่ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายที่แท้จริง

ดังนั้น หากต้องการ กู้เงินด่วน หรือคุณเคยเซ็นเอกสารบางอย่างกับผู้ให้กู้ที่น่าสงสัย แต่ยังไม่มีการรับเงิน และรู้ทันก่อนจะโอนเงินให้ การข่มขู่ของอีกฝ่ายไม่มีน้ำหนักในทางกฎหมาย คุณควร หยุดการติดต่อทันที เก็บหลักฐานทั้งหมดไว้ และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือสายด่วน 1441 เพื่อขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ โดยไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวคำข่มขู่ที่ไม่มีมูลความจริง

วิธีดูหรือเลือกผู้ให้บริการกู้เงินออนไลน์แบบถูกกฎหมาย

ในยุคที่การกู้เงินสามารถทำผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย สิ่งสำคัญที่ประชาชนควรตระหนัก คือการเลือกใช้บริการจาก “ผู้ให้กู้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย” เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นบริษัทสินเชื่อ โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่การปลอมแปลงข้อมูลสามารถทำได้อย่างแนบเนียน โดยมีวิธีสังเกตุดดังนี้

ชื่อบริษัทหรือผู้ให้บริการ

สิ่งแรกที่ควรตรวจสอบ คือ ชื่อบริษัทหรือผู้ให้บริการ ว่าเป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องหรือไม่ โดยสามารถค้นหาได้จากเว็บไซต์ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ว่ามีใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่ออย่างถูกต้องหรือไม่ ผู้ให้กู้ที่ถูกต้องจะต้องมีเลขทะเบียนนิติบุคคล ที่อยู่สำนักงานชัดเจน และสามารถติดต่อสอบถามได้จริงผ่านช่องทางทางการ เช่น เบอร์โทรศัพท์ อีเมล หรือเว็บไซต์

รูปแบบของการชำระเงินและบัญชีธนาคารที่ใช้ในการรับเงิน

ต่อมาคือ รูปแบบของการชำระเงินและบัญชีธนาคารที่ใช้ในการรับเงิน ผู้ให้บริการที่ถูกกฎหมายจะไม่เรียกเก็บเงินล่วงหน้าในรูปแบบใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ค่ามัดจำ หรือค่าปลดล็อกวงเงิน และหากมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมภายหลังการอนุมัติสินเชื่อ ก็จะดำเนินการผ่านบัญชีธนาคารในนามบริษัท ไม่ใช่บัญชีบุคคลทั่วไป หากพบว่าอีกฝ่ายให้โอนเงินไปยังบัญชีบุคคลธรรมดา ควรหยุดการติดต่อและตรวจสอบทันที

ความโปร่งใสของเอกสารและขั้นตอนการกู้

อีกหนึ่งปัจจัยที่ควรสังเกต คือ ความโปร่งใสของเอกสารและขั้นตอนการกู้ ผู้ให้บริการที่ถูกกฎหมายจะต้องมีสัญญาที่ชัดเจน ระบุรายละเอียดของวงเงิน อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อนชำระ และเงื่อนไขต่าง ๆ อย่างครบถ้วน รวมถึงมีการให้เวลาผู้กู้ในการพิจารณาสัญญาก่อนลงนาม โดยไม่เร่งรัดหรือกดดันให้ตัดสินใจทันที

นอกจากนี้ ควรระมัดระวังผู้ให้กู้ที่ใช้ข้อความโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง เช่น “อนุมัติไว ไม่ต้องใช้เอกสาร” หรือ “รับเงินทันทีหลังสมัคร” เพราะบริษัทที่ถูกต้องจะต้องตรวจสอบเอกสารส่วนตัว ประวัติรายได้ หรือเครดิตบูโรก่อนอนุมัติสินเชื่อเสมอ

สุดท้าย หากไม่มั่นใจว่าแหล่งที่คุณกำลังจะใช้บริการมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สายด่วน 1213 ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อรับคำปรึกษาโดยตรงจากหน่วยงานที่ดูแลด้านสินเชื่อโดยเฉพาะ

ดังนั้น การเลือกใช้บริการกู้เงินออนไลน์อย่างปลอดภัย จำเป็นต้องอาศัยความรอบคอบในการตรวจสอบข้อมูล และไม่เชื่อในข้อเสนอที่ง่ายเกินจริง เพราะความสะดวกสบายในโลกออนไลน์ แม้จะมาพร้อมกับทางเลือกที่หลากหลาย แต่ก็ซ่อนความเสี่ยงไว้ไม่น้อยเช่นกัน